“หากสถาปัตยกรรมเปรียบเสมือนการเดินทางอย่างหนึ่ง สถาปนิกก็คงเป็นผู้วางแผนเส้นทาง”

คุณทวีศักดิ์  วัฒนาวารีกุล กรรมการผู้จัดการ YAN Architects หรือย่านสถาปนิก หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า คุณทะ กับแนวความคิดและนิยามของคำว่า ’สถาปนิก’ ของคนรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับมุมมองของงานบ้านและสวนแฟร์ Midyear 2020 ที่พึ่งจบลงไป ว่าแท้ที่จริงแล้วงานแฟร์ขนาดใหญ่ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้กับนักออกแบบนี้ สามารถทำให้บุคคลทั่วไปรู้จักกับงานสถาปนิกได้จริงหรือ ? 

มุมมองของสถาปนิกต่องานบ้านและสวน

นอกจากการเดินชมพืชพรรณสวยๆ จากงานแฟร์ครั้งนี้ สำหรับคุณทะในฐานะที่เป็นสถาปนิกคนหนึ่ง มองว่างานบ้านและสวนทำให้ใครหลายคนที่กำลังมีความต้องการจะเริ่มปลูกบ้านสักหลัง ได้มีโอกาสมาอัพเดตนวัตกรรม วัสดุ งานออกแบบ และข้อมูลใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มแรกของโปรเจค มักจะสับสนกับกระบวนการโดยไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ดังนั้นงานบ้านและสวนจึงถือเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย อาทิ ของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ต้นไม้ใบเขียว ไปจนถึงวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มาในรูปแบบของสิ่งของที่จับต้องได้และทีมที่ปรึกษาที่มากด้วยความเชียวชาญ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมงานได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลในเชิงลึก เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านที่ตัวเองวาดฝันไว้

 นอกจากคนที่คิดจะสร้างบ้านแล้ว ก็ยังถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับทีม Real Estate Developer ที่กำลังมองหาไอเดียสำหรับการส่งเสริมโครงการ ทั้งด้านคุณภาพงานก่อสร้าง ความน่าอยู่ และภาพลักษณ์ของโครงการให้เกิด Signature ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้หลายโครงการประสบความสำเร็จ โดยจะเห็นได้จากหลายๆ ปีของการจัดงานบ้านและสวน ที่จะมีทีมงานจาก Developer จากหลายบริษัท ให้ความสนใจแวะเวียนมาอย่างสม่ำเสมอ 

งานบ้านและสวน ช่วยให้บุคคลทั่วไปรู้จักงานสถาปนิกมากขึ้นไหม ?

         ในมุมมองของคุณทะเชื่อว่างานบ้านและสวน สามารถทำให้บุคคลทั่วไปรู้จักสถาปนิกมากยิ่งขึ้น โดยจากผู้เข้าชมงานทั้งหมด มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะรู้ว่างานออกแบบสถาปัตยกรรมไม่สามารถคำนึงถึงแค่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่จำเป็นต้องตระหนักถึง เช่น การจัดพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสม ความสัมพันธ์ของสเปซต่างๆ วัสดุและขั้นตอนของงานก่อสร้าง การควบคุมค่าก่อสร้าง ความคุ้มค่า ตำแหน่งที่ดิน พื้นที่สีเขียว วิว ทิศทางของแดด ลม ฝน หรือแม้กระทั่ง Lifestyle ของผู้ใช้อาคารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ คือส่วนหนึ่งที่จะทำให้อาคารแต่ละหลังถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีที่สุด มีลักษณะที่แตกต่างกัน และแน่นอนย่อมต้องคำนึงถึงอัตลักษณ์ด้านความสวยงามอีกด้วย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้จะกลมกล่อมได้ย่อมต้องอาศัยสถาปนิกเป็นผู้วางแผนงาน เพราะเราทำงานในช่วงเริ่มต้นโครงการ

 หากสถาปัตยกรรมเปรียบเสมือนการเดินทางอย่างหนึ่ง  สถาปนิกก็คงเป็นผู้วางแผนเส้นทาง เพื่อให้ทุกคนที่เข้ามาร่วมทริปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของโครงการ วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้ควบคุมการก่อสร้าง ได้เส้นทางที่ดีและสะดวกที่สุด ใช้เวลาเหมาะสมที่สุด และไปถึงจุดหมายที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ โดยเฉพาะเจ้าของโครงการที่เป็นเจ้าของทริปนี้

โดยก่อนวางแผนทุกครั้งคุณทะมักจะมีคำถามติดปากที่จะต้องถามลูกค้าก่อนเสมอ อาทิเช่น มีความต้องการอะไรบ้าง มีงบประมาณในการก่อสร้างเท่าไร Lifestyle ในการใช้ชีวิตเป็นแบบไหน ชอบหรือมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ซึ่งคำถามเหล่านี้จะได้มาซึ่งคำตอบที่ทำให้ลูกค้าได้แผนงานที่เปรียบเสมือนเส้นทางของการเดินทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละท่าน

 จากการทำงานออกแบบสถาปัตยกรรมกว่า 10 ปี ย่านสถาปนิกพบว่ามีผู้สนใจจำนวนไม่น้อยที่ต้องการความเข้าใจถึงขั้นตอนในการทำงานของสถาปนิก เพื่อคลายความกังวลตลอดระยะเวลาของการออกแบบจนอาคารสร้างแล้วเสร็จ ฉะนั้นงานบ้านและสวนจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้บุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้อยู่ในสายงานสถาปัตยกรรมสามารถเข้ามาพูดคุยและปรึกษาหารือถึงขั้นตอนการทำงานออกแบบและก่อสร้างอาคารเบื้องต้นได้

 ซึ่งทีมงานย่านสถาปนิกเองมีความยินดีให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจในงานออกแบบ งานตกแต่งภายใน หรือแม้กระทั่งงบประมาณก่อสร้างเบื้องต้นที่มักจะเป็นตัวแปรหลัก เพื่อประกอบการตัดสินใจ

สถาปัตยกรรมแบบไหน ที่ช่วยให้ชีวิตสมดุลไปกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ?

ณ. ปัจจุบันที่ธรรมชาติเริ่มห่างเราออกไป ในขณะที่โรคภัยเข้าใกล้และคุกคามเรามากขึ้นทุกที หลายคนจึงเริ่มโหยหาอยากมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ สำหรับคุณทะนั้นเชื่อว่าธรรมชาติช่วย Support การโหยหานี้ได้ โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีเสน่ห์ในความหลากหลายทั้งทรัพยากรและภูมิอากาศทำให้นิยามคำว่าธรรมชาติของคุณทะแบ่งออกเป็น 2 ด้านใหญ่ๆ นั้นก็คือ

•   ธรรมชาติจากพืชพรรณ ช่วยกรองอากาศ และสร้างมุมมองที่รื่นรมย์ สบายตา
•   ธรรมชาติจากสภาพอากาศ คือ ความโปร่งโล่ง ความสบาย

โดยธรรมชาติจากพืชพรรณนั้น ตั้งแต่สมัยที่คุณทะเป็นนิสิตที่จุฬาฯ อาจารย์จะปลูกฝังให้นิสิตสถาปัตย์ทุกคนพยายามเก็บต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เดิมในที่ดินไว้ ห้ามโค่น คุณทะจึงนำมาเป็นข้อได้เปรียบทางธรรมชาติให้แก่โปรเจคได้ และออกแบบสถาปัตยกรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ สิ่งที่ได้มาจึงเป็นความร่มรื่นของโครงการ อีกทั้งโครงการยังมีต้นไม้ช่วยฟอกและกรองอากาศอีกด้วย ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นโปรเจคออกแบบบ้าน คอนโด หรือโรงแรม คุณทะก็ล้วนให้ความสำคัญ กับการผสานต้นไม้เข้าไปในการออกแบบอาคาร หรือบางโปรเจคก็มีอาคารล้อมต้นไม้ บางโปรเจคก็ใช้ต้นไม้ล้อมอาคาร ซึ่งต่อยอดมาจนถึงงานออกแบบในปัจจุบันของย่านสถาปนิกที่หลายงานมีต้นไม้ยืนต้นสร้างชีวิตชีวาส่งเสริมภาพลักษณ์ของอาคารได้เป็นอย่างดี

         ส่วนธรรมชาติจากสภาพอากาศ คุณทะมักจะได้โจทย์จากลูกค้าหลายๆ ท่านอยู่เสมอว่าอยากให้บ้านมีความโล่ง โปร่ง สบาย ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องนึกถึงลมเย็นๆ ในบ้านเรา แสงแดดที่ต้องเป็น Indirect Light คือต้อนรับความสว่างแต่ป้องกันความร้อน ซึ่งเป็นสภาวะน่าสบายที่ลูกค้าส่วนใหญ่ชื่นชอบ

         นอกจากนี้ในบางโปรเจคที่มีความเป็นบูทีคคุณทะยังออกแบบให้ผู้ใช้อาคารมีโอกาสได้สัมผัสกับลม ฝน และแดดได้บ้าง ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งสำหรับงานออกแบบสถาปัตยกรรมในเมืองไทย ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นบ้าน โรงแรม หรือรีสอร์ทที่ใส่ใจอยากดึงธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างเอกลักษณ์ และบรรยากาศให้กับโครงการ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้อาคารจะได้รับความรู้สึกเหมือนถูกบำบัดจากธรรมชาติเหล่านั้น ทั้งพืชพรรณและบรรยากาศ

ดังนั้นหากจะเอ่ยปิดท้ายถึงงานบ้านและสวนอีกครั้ง คุณทะก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นงานแฟร์หนึ่งที่รวบรวมทั้งงานสถาปัตยกรรมและธรรมชาติที่เราต้องการมาไว้ด้วยกัน นี่ก็เกือบทั้งหมดแล้วของกระบวนการออกแบบสถาปัตยกรรมให้น่าอยู่ จึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นทั้งบุคคลทั่วไปหรือสถาปนิกเองเข้ามาอัพเดทและแลกเปลี่ยนไอเดียกัน ถือเป็นอีกงานแฟร์หนึ่งที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้กันมากขึ้นกว่าเดิม